Friday, 29 March 2024
NEWS

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ออกเดินสายหาเสียงสนับสนุนผู้สมัครของพรรคก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 8 มี.ค. 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ออกเดินสายหาเสียงสนับสนุนผู้สมัครของพรรคก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง

 

โดยวันนี้ ได้ร่วมเปิดเวทีรับฟังปัญหาจากประชาชน ที่บ้านสบเมย ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จ.ลำพูน ร่วมกับนายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และผู้สมัคร ส.ส.ลำพูน พรรคก้าวไกล ทั้ง 2 คน คือ นายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก และ นายชัชพีร์ วรรณาพิรัชย์

 

นายธนาธร กล่าวว่า ต.ทาขุนเงิน เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประเด็นปัญหาการใช้ที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ตนเห็นว่าพรรคก้าวไกลได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ เช่นเดียวกับประเด็นข้อพิพาทที่ดินอื่นๆ

 

เพราะปัญหาที่ดิน เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนนับล้าน และนั่นทำให้พรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกล มุ่งมีบทบาทในคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตลอด

 

นายธนาธร กล่าวว่า จากที่ติดตามการทำงาน เห็นว่าพรรคก้าวไกลได้ไปรับฟังประชาชนผู้ได้รับผลกระทบมาตลอด 4 ปีในหลายพื้นที่ ทำให้พรรคก้าวไกลวันนี้ ได้ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาเป็นชุดร่างกฎหมายปฏิรูปที่ดิน ตามที่มีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้

 

รวมถึงร่างกฎหมายเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด อันเป็นผลมาจากการตกผลึกร่วมกันว่าทางแก้ปัญหาไม่ใช่การออก ส.ป.ก. เพิ่ม แต่คือการทำให้ ส.ป.ก. เป็นโฉนด แก่ประชาชนที่ควรต้องได้รับสิทธินั้น ในกรณีที่ตามเอกสารยังเป็นชื่อผู้ใช้ประโยชน์เดิมหรือทายาทที่ได้รับสิทธิโดยชอบธรรม และจำกัดไม่ให้เปลี่ยนเกิน 50 ไร่ต่อเจ้าของสิทธิ เพื่อไม่ให้นายทุนฉวยโอกาส

 

นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ได้รับบทเรียนมาจากการทำงานตลอด 4 ปี คือนโยบายต่างๆ ที่ต้องการผลักดันผ่านสภา หากไม่ผลักดันตั้งแต่ปีแรก ก็มีโอกาสยากมากที่จะผ่าน เพราะวาระการประชุมของสภามีหลายเรื่อง เต็มไปด้วยการยื่นเข้ามาแทรกคิวที่วางลำดับไว้

 

ตนทราบจาก ส.ส. พรรคก้าวไกลว่า ในการเลือกตั้งรอบนี้ พรรคได้เตรียมร่างกฎหมายสำหรับนโยบายของพรรคที่ต้องการผลักดันไว้แล้วราว 40 ฉบับ หลังเปิดประชุมสภา พรรคพร้อมยื่นร่างกฎหมายทั้งหมดเข้าสภาทันที เพื่อให้ทันพิจารณาภายในวาระ 4 ปีของสภา ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

 

โดยมีร่างกฎหมายทั้งเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน การปฏิรูปกองทัพ เอาทหารออกจากการเมือง ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การทำน้ำประปาดื่มได้ในระดับประเทศ การปลดล็อกท้องถิ่น การปฏิรูประบบราชการ เป็นต้น

 

นายธนาธร เห็นว่ากฎหมายแต่ละฉบับจะผ่านหรือไม่ผ่านนั้น ขึ้นอยู่กับเสียงสนับสนุนในสภา ว่าจะมีถึง 251 เสียงเป็นอย่างน้อยหรือไม่ ซึ่ง 4 ปีที่ผ่านมา จากอนาคตใหม่จนถึงก้าวไกล เรายึดมั่นในความเชื่อหนึ่งมาตลอดว่า ประเทศไทยที่ดีกว่านี้เป็นไปได้ และการลงทุนที่ถูกที่สุดคือ การหย่อนบัตรเลือกตั้ง เป็นการลงทุนที่คุ้มที่สุดในการกำหนดอนาคตของประเทศ ถ้าอยากเห็นประเทศไทยในอนาคตแบบเดียวกับที่เราอยากสร้าง ขอให้ใช้สิทธิเสรีภาพให้เป็นประโยชน์ ร่วมสร้างประเทศไทยที่ดีกว่านี้ไปด้วยกัน

 

ปตท. ติดอันดับมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด และเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก

 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าสูงสุดกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก จากการประเมินของ Brand Finance Global บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก ตอกย้ำศักยภาพการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ

 

Brand Finance Global ได้ประเมิน ปตท. จากการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมัน รวมถึงการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมและฟื้นฟูการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผลของการดำเนินงานที่เด่นชัดดังกล่าว ส่งผลให้เกิดมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งทัดเทียมแบรนด์ในระดับสากล

 

Mr. Alex Haigh, Managing Director - Asia Pacific of Brand Finance กล่าวว่า อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้เข้าสู่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการใช้พลังงานทดแทนในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านพลังงานเห็นถึงความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยปรับกลยุทธ์สู่การดำเนินธุรกิจพลังงานครอบคลุมทุกมิติ บนพื้นฐานของการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

 

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การติดอันดับองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดและเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดของโลก นับเป็นความภาคภูมิใจของ ปตท. ที่แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ ภายใต้วิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต

 

ปตท. พร้อมเป็นพลังสนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง โดยมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและการก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน อาทิ ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ระบบปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล (AI & Robotics & Digitalization) เป็นต้น

 

 

Battery Technology for All

ปตท. ผนึกกำลัง นูออโว พลัส ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ Battery Technology for All พัฒนาเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ มุ่งสู่ Net Zero

เมื่อไม่นานมานี้ นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ Battery Technology for All

ซึ่งเป็นการลงนามระหว่าง ดร.ยุทธนา สุวรรณโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ในฐานะ กรรมการ บริษัท นูออโว พลัส จำกัด เพื่อร่วมมือกันในการดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่

การผนึกกำลังของ ปตท. และ นูออโว พลัส ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้มั่นคงอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินการในโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และพัฒนาแบตเตอรี่ต้นแบบสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก อีกทั้งยังเป็นการประสานความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยมีเจตจำนงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และสนับสนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สอดคล้องตามเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมพลังงานยั่งยืน ที่พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชนและสังคมในอนาคต
 

ร่วมกันสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย สรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2566 เวลา 19.00 น. ที่ อุโบสถวัดพระธาตุแช่แห้งพระอารามหลวง ตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน พระสุนทรมุณี รองเจ้าคณะจังหวัดน่าน ประธานฝ่ายสงฆ์ นายกฤชเพชร เพชระบูรณิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ประธานฝ่ายฆราวาส นำพระภิกษุสงฆ์ – สามเณร และพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดน่าน

 

รวมถึงนักท่องเที่ยว เข้าวัดร่วมปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เนื่องในวันมาฆบูชา พร้อมนำพุทธศาสนิกชน ร่วมกันสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย สรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และร่วมกันเวียนเทียนรอบพระธาตุแช่แห้ง จำนวน 3 รอบ

 

โดยมีพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดน่าน รวมถึงนักท่องเที่ยว ร่วมเวียนเทียนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการน้อมระลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยน้อมนำหลักธรรมดังกล่าวไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร และยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดี มีเมตตา ขยันหมั่นเพียรที่จะกระทำความดี

 

 

เที่ยวชุมชน ยลวิถี ชุมชนคุณธรรมบ้านผาบ่อง สุดยอด ชุมชนต้นแบบ แม่ฮ่องสอน

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2566 เวลา 14.00 น. ณ ชุมชนยลวิถี บ้านผาบ่อง หมู่ที่ 1 ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายอมร ศรีตระกูล กำนันตำบลผาบ่อง ผู้นำชุมชน นำคณะกรรมการหมู่บ้านผาบ่อง และสมาชิกชุมชนผาบ่อง

ให้การต้อนรับ ฯ รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ กลุ่มกระทรวง คณะที่ ๓ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน โครงการสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ ณ บ้านผาบ่อง ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินโครงการคัดเลือกให้ชุมชนคุณธรรม ฯ บ้านผาบ่อง ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ได้รับการคัดเลือกเป็น 1ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ


สำหรับ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ต้องเป็นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวจากชุมชนคุณธรรมฯ

โดยคัดเลือกจากทั่วประเทศ 228 ชุมชน ให้ได้ 10 ชุมชน ที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ พร้อมประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้าง

เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดและขยายผลความสำเร็จไปยังชุมชนอื่นๆ ปลุกกระแสการท่องเที่ยววิถีชุมชน สร้างโอกาส สร้างรายได้ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของชุมชน

เมื่อวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คลี่คลายและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ชุมชนคุณธรรมบ้านผาบ่อง เป็นชุมชนเล็กๆ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตสองกลุ่มชาติพันธุ์ คือ ชาวไตหรือไทใหญ่และชาวปกาเกอะญอ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวมานานนับร้อยปี

ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น การแสดงศิลปะพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ สัมผัสบรรยากาศของการท่องเที่ยวที่อบอุ่น โดยมีจุดท่องเที่ยวต่างๆ ภายในชุมชนและบริเวณใกล้เคียง จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจเมื่อมาเที่ยวบ้านผาบ่อง คือ สะพานข้าว ก้าวเพื่อสุข สะพานไม้ไผ่ทอดยาวกลางทุ่งข้าวโอบล้อมไปด้วยขุนเขา สดชื่นด้วยบรรยากาศแสนบริสุทธิ์และความเป็นธรรมชาติ

ชมกิจกรรมและเเละผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่กาดซอกจ่า ณ ลานวัฒนธรรมชุมชนผาบ่อง ชมสถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ และวิถีชุมชนซึ่งคงเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียบง่ายและมีเสน่ห์

ป้องกันไฟป่าเชียงใหม่ นอภ.ดอยสะเก็ด เปิดงานแนวกันไฟ พร้อมปชช.และ นศ.แม่โจ้ร่วมทำแนวกันไฟ

ประชาชน ผู้นำชุมชนเครือข่ายไฟป่า จิตอาสา และนักศึกษา ม.แม่โจ้ ลงพื้นที่ทำแนวกันไฟ ส่วน นศ.เรียนรู้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่าศึกษานอกห้องเรียนหาแนวทางป้อนกันและแก้ไข นายธนกฤต ฉันทะจำรัสศิลป์ นายอำเภอดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงานทำแนวกันไฟ ชุมชนดงป่าก่อ หมู่ 2 ต.เชิงดอย

 

โดยทางนายมงคล ชัยวุฒิ นายยกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย นำชาวบ้าน และพี่น้องเครือข่ายไฟป่า พี่น้องจิตอาสา ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เทศบาลในพื้นที่ทั้ง 2 แห่ง และท่านอาจารย์ น้อง ๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นผู้ร่วมปฏิบัติงาน ทั้งนี้นักศึกษาได้รับฟังการบรรยายเรื่องปัญหาฝุ่นควันไฟป่า จากนายกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย ประกอบการเรียนการสอนนอกห้องเรียน การทำงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา

 

ที่มา เชียงใหม่นิวส์

งานนี้เที่ยวฟรี! ชาวพิจิตร คึกคัก ทำบุญวันมาฆบูชา แห่ชมมหกรรมลิเกแก้บนหลวงพ่อเหลือ วัดหงษ์

อะเมซิ่งสายมู! ทึ่งในความศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ของหลวงพ่อเหลือ วัดหงษ์ ตำบลย่านยาว เมืองพิจิตร กลายเป็นที่เลื่องลือ “บนบานศาลกล่าว ขอเงินได้เงิน ของานได้งาน ขอมีลูกชายหญิงได้สมดั่งใจ” ทุกวันเพ็ญเดือน 4 ของทุกปี วัดกำหนดให้เป็นวันจัดงานมหกรรมแก้บนคนโชคดีด้วยการนำลิเกมารำแสดงถวาย

 

วันที่ 6 มีนาคม 2566 ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา และตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ซึ่งเป็นประจำทุกปีที่วัดหงษ์ ตำบลย่านยาว เมืองพิจิตร หรือ วัดหลวงพ่อเหลือ ได้กำหนดให้ในช่วงระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2566 เป็นวันจัดงานนมัสการและสมโภชหลวงพ่อเหลือขึ้น โดย พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ นายก อบจ.พิจิตร เป็นประธานเปิดงานท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศนับหมื่นคนที่พร้อมใจมาแก้บนภายในงานด้วยการนำลิเกรำแก้บนเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตการงาน

 

พระครูวิวิธบุญกิจ เจ้าอาวาสวัดหงษ์ “พระอาจารย์สมชาย” เล่าประวัติของวัดแห่งนี้ผ่านการแสดงไลท์แอนด์ซาวด์เล่าประวัติว่า วัดหงษ์ เดิมชื่อ วัดโหง , วัดหงส์ หรือ วัดหงสาวาส ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 ตำบลย่านยาว อำเภอเมืองพิจิตร สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2400 มีโบราณวัตถุสำคัญ คือ พระพุทธรูป พระประธานในโบสถ์ นามว่า “หลวงพ่อเหลือ” ซึ่งในอดีตวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง อยู่ริมแม่น้ำน่านมีพระประธานในอุโบสถร้างนั้นเดิมเรียกว่า “หลวงพ่อโต” ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2440 แม่น้ำน่านกัดเซาะตลิ่งชาวบ้านจึงช่วยกันย้ายวัดและพระประธานให้ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำน่าน จนมาประดิษฐานอยู่ ณ อุโบสถ วัดหงษ์ ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 12 ปีมะเส็ง

 

หลวงพ่อเหลือเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยประทับนั่งฐานเขียง พระเพลากว้าง 96 นิ้ว สูง 133 นิ้ว ทรงยืดพระอุระผึ่งผายมีลักษณะงดงาม สันนิษฐานว่า ช่างปั้น ช่างหล่อพระ สร้างขึ้น เป็นฝีมือสกุลช่างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ภายในวัดแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพรรณ อีกทั้งยังมีต้นตะเคียนใหญ่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือกราบไหว้ ชื่อ “แม่โหง แม่นาง” เพราะเชื่อกันว่ามีนางไม้สิงสถิตอยู่อายุประมาณ 200 ปี

 

ชาวบ้านกราบไหว้บนบานศาลกล่าวเคยได้โชคได้ลาภสมดังปรารถนา เช่นเดียวกับหลวงพ่อเหลือที่อยู่ภายในอุโบสถวัดหงษ์ เป็นประจำทุกวันก็จะมีผู้คนมากราบไหว้บนบานศาลกล่าว ขอให้ลูกให้หลานสอบเข้าเรียนตำรวจ ทหาร ก็ได้สมดั่งใจนึก บนบานศาลกล่าวขอให้ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง ขอให้มีลูกชายหญิง ก็ได้ง่าย เหมือนดั่งเทวดาประทานพรให้ ฯลฯ ความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ของหลวงพ่อเหลือวัดหงษ์ สะสมบารมี มีข่าวแพร่กระจายโด่งดังไปทั่ว

 

อีกทั้งมีความเชื่อกันว่าถ้าบนบานศาลกล่าวด้วยลิเก ที่เชื่อกันว่า หลวงพ่อเหลือชอบมากนักแล เมื่อได้สมดั่งใจนึกที่บนบานศาลกล่าวไว้ ต่างคนต่างก็นำลิเกมาเล่นแก้บน ทั้งกลางวันกลางคืน ซึ่งวัดหงษ์ย่านยาว แห่งนี้ ตั้งอยู่ติดกับโรงเรียนบ้านวัดหงษ์ เมื่อลิเกมาเล่นแก้บนกันแทบทุกวันทั้งกลางวันกลางคืน เด็กๆ ก็ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ ส่วนพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่มีสมาธิในการสวดมนต์ภาวนา

 

ดังนั้นต่อมากรรมการวัดและคณะสงฆ์จึงพิจารณาว่าสมควรให้ผู้ที่จะทำการจ้างลิเกมาแสดงแก้บนหลวงพ่อเหลือ วัดหงษ์ ขอให้มาแก้บนพร้อมๆกันในวันงานสมโภชแก้บนหลวงพ่อเหลือวัดหงษ์ ที่จะจัดขึ้นในช่วงงานเพ็ญเดือน 4 ( ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ) ของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 5-8 มีนาคม 2566 ในอดีต ต่างคนต่างหาลิเกมาเล่นประชันกันดังสนั่นลั่นวัดไปหมด

 

โดยต่อมาทางวัดจึงได้วางกุศโลบายสำหรับผู้ที่จะมาทำการแก้บนให้มาลงทะเบียนจองคิวลิเกที่ทางวัดจัดหาไว้ให้ แล้วร้อง รำ เล่น ถวายหลวงพ่อเหลือเป็นรอบๆไป หรือจะบูชาธูปในราคาดอกละ 20 บาท เพื่อหารายได้เข้าวัดโดยใช้ธูป 1 ดอก เป็นตัวแทนลิเก 1 ตัวแสดง

 

สิ่งที่พบเห็นเป็นประจำทุกปี พบว่าในวันจัดงานสมโภชแก้บนหลวงพ่อเหลือมีผู้ที่สมหวังจากการที่เคยบนบานศาลกล่าวแล้วสมหวังจำนวนนับพันนับหมื่นคน แห่กันมาร่วมงานแก้บนอันยิ่งใหญ่ในทุกๆปี ดังนั้นปีนี้หากท่านบนบานศาลกล่าวสิ่งใดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดไว้ก็สามารถมาร่วมบูชาธูป เพื่อใช้แทนตัวแสดงลิเก

 

เพื่อใช้ในการแก้บนในครั้งนี้ได้ด้วย หรือมีความปรารถนาสิ่งใดที่ต้องการจะบนบานศาลกล่าวให้หลวงพ่อเหลือวัดหงษ์ประทานพรความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ช่วยเหลือ ก็ขอเชิญชวนมาเที่ยวงานในวันและเวลาดังกล่าว งานนี้เที่ยวฟรี!

ครอบครัว นำอัฐิ " น้องดอม " สวดอภิธรรมคืนแรก

4 มีนาคม 2566 ที่วิหารพระเจ้าอินทร์สาน วัดพระธาตุดอยเวา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นางธนพร  พรหมเทพ และนายบรรพต พรหมเทพ พ่อและแม่ของน้องดอม หรือ นายดวงเทพ พรหมเทพ  1 ในทีม 13 หมูป่า ได้จัดพิธีทางศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับน้องดอม หลังจากช่วงเช้าที่ผ่านมาทาวครอบครัวได้ไปรับอัฐิของน้องดอมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กลับมายังบ้านที่ ชุมชนสายลมจอย 

.

โดยในพิธีวันนี้มีการสวดอภิธรรมให้กับน้องดอม โดยมีพระครูประยุตเจติยานุการ เจ้าอาวาสวัดดอยเวา นำสวดโดยมี พ่อและแม่ของน้องดอมเป็นประธาน ซึ่งในวันนี้เป็นคืนแรก มี เพื่อน 12 คน ที่ประสบเหตุติดอยู่ภายในถ้ำหลวงด้วยกัน โค้ชนพ นายนพรันต์ กันทะวงศ์ โค้ชเอก นายเอกพล จันทะวงศ์ นำทีมฟุตบอลเอกพลอะคาเดมี่ ประมาณ 30 คน ญาติ แฟนคลับ ลุงบังกู้ภัย ลุงรักษ์ถ้ำหลวง และคนที่เคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์ถ้ำหลวง  มาร่วมในพิธีประมาณ 100 คน

.

โดยการสวดอภิธรรมมีกำหนดการ 2 วันคือ วันที่ 4-5 มีนาคม 2566 และในช่วงบ่ายวันที่ 6 มีนาคม 2566 ทางครอบครัวจะมีการนำอัฐิของน้องดอมไปลอยอังคาร ที่บริเวณแม่น้ำโขง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

ฐานเสียงภาคเหนือกระทบหลายพรรค หลัง กกต. ประกาศแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่

5 มีนาคม 2566 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คำว่า "ราษฎร" ไม่หมายความรวมถึงผู้ไม่ได้สัญชาติไทย (ต่างด้าว) ทำให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  ต้องดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากจำนวนราษฎรรวมลดลง เมื่อตัดราษฎรผู้ไม่มีสัญชาติไทยออก เพื่อใช้ในการเลือกตั้ง 2566

.

เดิมที กกต. คำนวณจากจำนวนราษฎรทั้งประเทศ นับรวมราษฎรผู้ไม่มีสัญญาชาติไทย 66,090,475 คน เฉลี่ยประมาณ 165,226 คน ต่อจำนวน ส.ส. 1 คน เมื่อไม่นับรวมราษฎรผู้ไม่มีสัญชาติไทย จะเหลือราษฎรทั้งประเทศ  65,106,481 คน เฉลี่ยประมาณ 162,766 คน ต่อ ส.ส. 1 คน ทำให้ 3 จังหวัด มีจำนวน ส.ส. ลดลง ประกอบด้วย

-เชียงราย จะมี ส.ส. 7 คน จากเดิม 8 คน

-เชียงใหม่ จะมี ส.ส. 10 คน จากเดิม 11 คน

-ตาก จะมี ส.ส. 3 คน จากเดิม 4 คน

.

ซึ่งเมื่อนับจำนวน ส.ส. รวม ภาคเหนือจะเหลือ ส.ส. 36 คน จากเดิม 39 คน เมื่อดูจากจำนวน ส.ส. ลดลง-เพิ่มขึ้น ส่งผลในเชิงยุทธศาสตร์อยู่พอสมควร เนื่องจาก เชียงราย เชียงใหม่ เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อชาติ ซึ่งอยู่ในขั้วประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทยกวาดเรียบ 9 คน ก่อนจะมาเสียเก้าอี้ให้ “ศรีนวล บุญลือ” จากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งซ่อม ก่อนที่ “ศรีนวล” จะย้ายเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย ดังนั้นสนามเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

.

เช่นเดียวกับจังหวัดเชียงราย พรรคเพื่อไทยกวาดไป 5 คน อดีตพรรคอนาคตใหม่ 2 คน ซึ่งยากที่ “ขั้วรัฐบาล” จะเข้ามาเบียดชิงในพื้นที่ได้ ส่วน จังหวัดตาก ลดลง 1 คน ส่งผลกระทบต่อ “ขั้วรัฐบาล” เนื่องจากปี 2562 พรรคพลังประชารัฐ เข้าวิน 2 คน พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน

.

ทั้งนี้ บทสรุปของการไม่นำ “ต่างด้าว” มาคำนวณค่าเฉลี่ยน ส.ส. เสมือนจะเข้าทาง “ขั้วรัฐบาล” มากกว่า “ขั้วฝ่ายค้าน” ซึ่งเสียเก้าอี้ ส.ส. ในพื้นที่ฐานที่มั่น จึงต้องติดตามว่าจะส่งผลกระทบต่อมากน้อยเพียงใด เพราะ 1 เสียงในสภาฯ ย่อมมีผลต่อการโหวตผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

.

ที่มา : bangkokbiznews

คุณหญิงสุดารัตน์ ขึ้นเวทีกล่าวกับพี่น้องชาวเชียงใหม่

วันที่ 3 มี.ค.2566 - ที่ จ.เชียงใหม่ พรรคไทยสร้างไทย นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย นายการุณ โหสกุล นายต่อพงษ์ ไชยสาสน์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน พร้อมแนะนำว่าที่ผู้สมัครของพรรคไทยสร้างไทย จำนวน 10 เขต โดยมีประชาชนมารอฟังการปราศรัยจำนวนมาก

 

คุณหญิงสุดารัตน์ ขึ้นเวทีกล่าวกับพี่น้องชาวเชียงใหม่ว่า นับแต่เริ่มทำงานทางการเมืองมากว่า 30 ปี ไม่เคยมียุคใดสมัยใดที่พี่น้องจะทุกข์ยากแสนสาหัสมากเท่ากับยุคนี้ โดยเฉพาะคนตัวเล็ก คนหาเช้ากินค่ำ พี่น้องเกษตรกร ถูกละเลยได้มากเท่านี้อีกแล้ว

 

พรรคไทยสร้างไทย ขอเดินหน้าตามอุดมการณ์ สร้างพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อส่งมอบประเทศไทยที่ดีที่สุดให้กับลูกหลาน จึงไม่สนใจที่จะต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองกับใคร และยืนยันที่จะไม่เป็นนั่งร้านให้กับเผด็จการได้กลับมานำพาประเทศไทยให้ถอยหลังลงคลองอีกต่อไป

 

ดังนั้น หากพี่น้องเห็นด้วยกับแนวทางของเรา และเห็นด้วยว่าต้องหยุดการเมือง 2 ขั้วเพราะเลือกฝั่งหนึ่งก็ติดหล่ม เลือกอีกฝั่งก็ติดล็อค จนเปิดทางให้ทหารลากรถถังมายึดอำนาจถึงสองครั้งในรอบ 17 ปี ประชาชนในบ้านเมืองตีกัน เกิดความขัดแย้งไม่จบสิ้น ประเทศเกิดการคอรัปชั่น เกิดการทุจริตอย่างมโหฬาร จนเดินหน้าต่อไม่ได้ ขอให้มาร่วมกับพรรคไทยสร้างไทย เพื่อร่วมกันสร้างทางออก ทางรอดของประเทศ

 

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของพี่น้องชาวเชียงใหม่และพี่น้องภาคเหนือต้องพบเจอมานานหลายปี ซึ่งเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัส นั่นคือปัญหาฝุ่นพิษ โดยเฉพาะค่าอากาศ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน สูงถึง 210 AQI และ PM2.5 สูงถึง 100 ซึ่งถือเป็นตัวเลขเมืองที่มีมลพิษสูงอันดับ 1 ของโลก

 

ปัญหาดังกล่าวจะกลายเป็นสาเหตุที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งปอดโดยภาวะที่มี PM 2.5 จะทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอด ได้มากถึง 1-1.4 เท่า ซึ่งเมื่อ PM 2.5 ลอยเข้าไปในหลอดลมจนถึงปอด

 

พี่น้องประชาชนจะไม่รู้สึกตัวและป้องกันไม่ได้เมื่อเข้าไปภายในปอดแล้ว อาจทำให้เกิดการอักเสบมีการกลายพันธุ์ของ DNA RNA หากร่างกายได้รับสาร PM 2.5 ในปริมาณมากและยาวนานเกินไปก็จะทำให้กลายเป็นมะเร็งปอดได้

 

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ดังนั้น พ.ร.บ.อากาศสะอาด จึงเป็นวาระเร่งด่วนที่พรรคไทยสร้างไทย จะผลักดันเป็นกฎหมายฉบับแรกๆเมื่อได้เป็นรัฐบาล นอกจากนี้จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรเพื่อไม่ให้ไปเผาตอซังต่างๆ โดยจะใช้เครื่องมือ ที่มหาวิทยาลัยผลิตได้ เก็บตอซังเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งตอซัง เหล่านี้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นวัสดุ Bio Plastic เช่นจาน แก้ว และกระดาษต่างๆ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้อีกทางหนึ่งด้วย

 

นอกจากนี้จะต้องไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้มีการเผา รวมถึงไฟป่าที่ต้องเฝ้าระวังอย่างจริงจัง โดยจัดสรรงบประมาณให้กับภาคประชาชนเพื่อช่วยเป็นหูเป็นตาในการป้องกัน รวมถึงสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องเหล่านี้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันพื้นที่ในตัวเมืองจะต้องสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ให้มากขึ้น

 

ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยมีนโยบายและแผนงานเตรียมพร้อมไว้แล้วโดยเฉพาะการนำรถยนต์เก่ามาแลกรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ โดยมีสิทธิพิเศษต่างๆให้มากมาย

 

 

โครงการรถไฟเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รายงานความคืบหน้าการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ สายเหนือ เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ระยะทางรวม 323.10 กิโลเมตร ปัจจุบันการก่อสร้างงานโยธา 3 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย - งาว ระยะทาง 104 กม. สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 135 กม. และสัญญาที่ 3 ช่วง ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 84 กม. ภาพรวมมีความก้าวหน้าร้อยละ 0.75 เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้

 

โดยในสัญญาที่ 2 ได้เริ่มดำเนินงานขุดอุโมงค์ฝั่งเหนือไปแล้วเป็นระยะทางประมาณ 4 เมตร นับเป็นผลงาน 0.15% ในระยะเวลาเริ่มงาน 10 วัน ทั้งฝั่ง up track และ down track ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการขุดครึ่งส่วนบนของหน้าตัดอุโมงค์ (top heading) และติดตั้งระบบค้ำยันดิน (primary support)

 

ทั้งนี้อุโมงค์สัญญา 2 ประกอบด้วย ชั้นดิน และชั้นหิน วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ คาบเกี่ยว 2 จังหวัดคือ ลำปาง และพะเยา เป็นอุโมงค์คู่รางเดี่ยว แบ่งเป็นฝั่ง up track และ down track ความยาว 2,700 เมตร (ทั้งหมด 5,400 เมตร) ภายในอุโมงค์มีทางเชื่อม 2 ประเภทคือ ทางเชื่อมกรณีฉุกเฉินเพื่ออพยพ (cross passage) 11 จุด และทางเชื่อมที่เป็นห้องควบคุมงานระบบ(equipment room) 4 แห่ง

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากความก้าวหน้างานด้านโยธาแล้ว ปัจจุบัน รฟท. ยังได้เร่งรัดการดำเนินงานเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างดำเนินการก่อสร้าง ให้โครงการสามารถเสร็จสิ้นได้ตามแผนต่อไป โดยทั้ง 3 สัญญามีพื้นที่ที่ต้องดำเนินงานเวนคืนฯ รวม 8,665 แปลง 12,076 ไร่ แบ่งเป็น ที่ดินมีเอกสารสิทธิ 7,704 แปลง ที่ดิน สปก. 783 แปลง พื้นที่ป่า 13 แปลง อื่นๆ 465 แปลง และสิ่งปลูกสร้าง 5,053 รายการ

 

ขณะนี้ได้เริ่มทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กับชาวบ้านที่ถูกเวนคืนในโครงการฯ แล้ว โดยสัญญาที่ 1 มีความก้าวหน้า ร้อยละ 54 สัญญาที่ 2 มีความก้าวหน้า ร้อยละ 29% และสัญญาที่ 3 มีความก้าวหน้า ร้อยละ 49%

 

สำหรับโครงการรถไฟเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ มีจุดเริ่มต้นที่สถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ มุ่งไปทางทิศเหนือผ่านพื้นที่ 59 ตำบล 17 อำเภอ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ ลำปาง พะเยา และสิ้นสุดที่ด่านพรมแดนเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยปลายทางจะบรรจบกับสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 4 ซึ่งในอนาคตจะถูกพัฒนาไปเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ

 

รูปแบบเส้นทางเป็นทางคู่ใหม่ขนานกันตลอดเส้นทาง มีสถานีทั้งสิ้น 26 สถานี ประกอบด้วย สถานีขนาดใหญ่ 4 สถานี สถานีขนาดเล็ก 9 สถานี และป้ายหยุดรถ 13 แห่ง มีลานขนถ่ายสินค้าจำนวน 4 แห่ง และย่านกองเก็บและบรรทุกตู้สินค้า 1 แห่งที่สถานีเชียงของ บนพื้นที่ 150 ไร่ พร้อมแนวถนนเชื่อมต่อด่านชายแดนเชียงของ

 

จุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้คือ เป็นโครงการที่ก่อสร้างโดยไม่มีจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ - รถยนต์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย โดยมีการออกแบบรั้วกั้นเขตตลอดแนวสายทางของ รฟท. และออกแบบสะพานข้ามทางรถไฟ สะพานข้ามถนน และถนนลอดทางรถไฟ ตลอดจนสะพานลอย ทางเท้า และทางรถจักรยานยนต์ข้าม และลอดทางรถไฟ รวม 254 จุดตลอดแนวเส้นทาง และยังมีอุโมงค์คู่ 4 แห่ง ตามแนวเส้นทางที่พาดผ่านพื้นที่ภูเขา รวมระยะทางประมาณ 13.9 กม. และมีอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในไทย 6.2 กม.

 

โดยเป็นสายทางที่คาดการณ์ว่าจะสวยที่สุดของ รฟท. นอกจากนี้ยังมีลานกองเก็บสินค้า CY มากถึง 5 แห่ง

 

 

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย นายการุณ โหสกุล นายต่อพงษ์ ไชยสาสน์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย เดินทางลงพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมพบป่ะประชาชน

เมื่อเวลา 09.00น. วันที่ 3 มี.ค.ที่วัดสันดอนมูล คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย นายการุณ โหสกุล นายต่อพงษ์ ไชยสาสน์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย เดินทางลงพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมพบป่ะประชาชน

 

โดยมีชาวเชียงใหม่ เดินทางมาให้กำลังใจในการลงพื้นที่จำนวนมาก โดยเฉพาะที่วัดสันดอนมูล พร้อมรับชมการแสดงฟ้อนจากกลุ่มสตรี รวมทั้งรับการผูกข้อมือรับขวัญด้วย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ ได้กล่าวขอบคุณชาวเชียงใหม่ ที่มาให้กำลังใจมอบดอกไม้ ขอถ่ายภาพและสวมกอด

 

ขณะเดียวกันสีชาวบ้านนำหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกัน PM2.5 มามอบให้กับคุณหญิงสุดารัตน์ และแกนนำพรรค เพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองจากหมอกควันและฝุ่นละอองด้วย โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่

 

ซึ่งวันเดียวกันนี้ วัดค่าฝุ่นละอองได้ที่ระดับ 201 ซึ่งเกินค่ามาตรฐาน มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เด็ก คนชรา หญิงมีครรภ์ และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และหลอดเลือด

 

จากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ได้ขึ้นปราศรัย โดยมีชาวบ้านจากอำเภอสันป่าตอง อำเภอสารภีร่วมรับฟัง พร้อมฝกล่าวย้ำกับผู้สมัคร ส.ส. ของจังหวัดเชียงใหม่ว่า ขอให้ทำงานหนัก เพื่อให้ประชาชนทุกคนมั่นใจว่า พรรคไทยสร้างไทย สามารถทำนโยบายที่ได้ประกาศไว้สำเร็จ เป็นรูปธรรมได้ภายใน 3 ปีหากได้รับโอกาสเป็นรัฐบาล และขอให้ผู้สมัคร ทุกคนต้องสร้างศรัทธาให้กับกับประชาชนให้ได้ว่า เลือกไทยสร้างไทย ประเทศจะเปลี่ยนแปลง เราจะสร้างประเทศที่ดีกว่านี้เพื่อคนรุ่นต่อไป

 

ต้องให้ประชาชนเข้าใจนโยบายของพรรค อย่างนโยบายบำนาญประชาชน 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งพรรคได้เสนอกฎหมายไปรอไว้ในสภาแล้ว เหมือนรถไปจอดรอแล้ว เหลือแค่คนขับ คือผู้สมัครทุกคน ที่จะเข้าสภาไปยกมือให้ กฎหมายฉบับนี้

 

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวถึงพันธกิจในการดูแลประชาชนว่า มีตั้งแต่เกิดจนแก่ ผ่านนโยบาย 3 สร้าง คือ สร้างพลังอำนาจให้พี่น้องประชาชน ผ่านการแก้หนี้ เติมทุน สร้างรายได้ ผ่านพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย เช่น ด้าน เกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และสุขภาพ, ฐานเทคโนโลยี, และฐานเศรษฐกิจโลกใหม่ เช่น เปลี่ยนเงื่อนไขการลงทุน BOI, ปรับตัวชี้วัด, เขตเศรษฐกิจพิเศษการท่องเที่ยว, และเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเป็นรายได้ สร้างโอกาสและความสุข

 

ด้วยนโยบายบำนาญประชาชน, 30 บาทพลัส, นโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรีตรี และหวยบำเหน็จ เป็นต้น

 

 

ฟรุ้ทบอร์ด-Fruit Board

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้

 

(ฟรุ้ทบอร์ด-Fruit Board) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565 ว่าขณะนี้รอเพียงนายกรัฐมนตรีนำโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยที่ประสบความเดือดร้อนจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ในฤดูกาลผลิตปี 2564/2565 เข้าสู่วาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบเท่านั้น

 

จึงฝากท่านนายกรัฐมนตรีให้ช่วยเหลือเยียวยาชาวสวนลำไยเป็นการด่วนโดยสามารถนำเข้าคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในสัปดาห์หน้าก่อนที่จะมีการยุบสภาเนื่องจากรอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วแต่กลับถูกดึงเรื่องจนถึงวันนี้กลับบอกว่าไม่มีเงิน

 

“โครงการนี้ฟรุ้ทบอร์ดได้มีมติเห็นชอบโครงการตามข้อเสนอของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนลำไยในภาคตะวันออกและภาคเหนือโดยการนำของ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรฯ. นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญาอดีต ส.ส.จันทบุรี นายขยัน วิพรหมชัย อดีตส.ส.ลำพูน และ นายพสิษฐ์ สุขสวัสดิ์ ประธานแปลงใหญ่ลำไยจังหวัดลำพูนร่วมกับเครือข่ายชาวสวนลำไยทุกกลุ่มโดยดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามเห็นชอบโครงการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2565 เสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนผ่านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีลงนามเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 ถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ ถ้านายกรัฐมนตรีนำเข้าคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ปีที่แล้ว ชาวสวนลำไยก็คงได้รับเงินเยียวยาไปเรียบร้อยแล้ว”

 

นายอลงกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นข้ออ้างว่า เงินช่วยเหลือเยียวยาชาวสวนลำไยใช้เงินจำนวนมากนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณใช้เงินหลายแสนล้านในโครงการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มอาชีพต่างๆในขณะที่การเยียวยาชาวสวนลำไยใช้เงินเพียง3พันล้านเท่านั้น

.

ส่วนประเด็นข้ออ้างเรื่องวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ใช้เต็มวงเงินนั้นขอยืนยันว่าการดูแลช่วยเหลือเกษตรกรจะมีเพดานเงินไม่ได้เพราะหากเกิดภัยแล้งวันนี้ต้องใช้เงินช่วยเหลือเกษตรกรแล้วบอกว่าวงเงินไม่มี พูดแบบนี้อย่าเป็นรัฐบาล ขอแนะนำว่า รัฐบาลแก้ไขปัญหาง่ายมากโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งทำได้อยู่แล้ว เพราะคณะรัฐมนตรีเคยดำเนินการมาแล้วเป็นเงินหลายแสนล้าน จึงขอให้เห็นใจชาวสวนลำไยซึ่งรอเงินเยียวยาโดยกระทรวงเกษตรฯ.เสนอไปตั้งแต่6เดือนที่แล้ว

 

“อย่าพยายามอ้างเหตุผลการโยนเรื่องกลับมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เสนอรอบ2ทั้งที่ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ เนื่องจากเป็นโครงการที่เคยเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการเยียวยาชาวสวนลำไยฤดูกาลผลิตปี 2563/2564 มาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ใช่โครงการแรกเมื่อ2ปีก่อนก็ไม่เคยต้องเสนอ2รอบแบบนี้ แต่เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นไม่มีข้ออ้างใดๆอีก

กระทรวงเกษตรฯ.ก็ยอมปฏิบัติตามโดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ.ลงนามเสนอรองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ได้ลงนามถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีและรอเพียงนายกรัฐมนตรีนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบ

 

ดังนั้นการอ้างว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการล่าช้าหรือการอ้างว่าใช้วงเงินเต็มแล้วจึงเป็นเหตุผลข้ออ้างที่ไม่ถูกต้องเพราะเสนอมาตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว

 

ซึ่งหากมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือชาวสวนลำไยเพียง 3 พันล้านก็สามารถทำได้ทันที จึงขอให้ชาวสวนลำไยในภาคเหนือและภาคตะวันออกได้เข้าใจความจริงในเรื่องนี้ อย่าให้มีใครมาบิดเบือนหรือเตะถ่วงให้ไปรอรัฐบาลหน้า เพราะรัฐบาลนี้สามารถอนุมัติได้ทันที นายอลงกรณ์กล่าว

 

ในที่สุด สำหรับโครงการเยียวยาชาวสวนลำใยครั้งนี้มีแนวทางช่วยเหลือที่กำหนดไว้ ดังนี้ ขนาดพื้นที่ปลูกรายละ ไม่เกิน 25 ไร่ ในอัตรา 2,000 ต่อไร่ กรอบวงเงินทั้งหมด 3,821.54 ล้านบาท

 

กลุ่ม ปตท. เปิดงาน PTT Group Tech & Innovation Day 'Beyond Tomorrow' โชว์สุดยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมนำอนาคต

เมื่อวานนี้ (1 มี.ค.66) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในพิธีเปิดงาน PTT Group Tech & Innovation Day ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Beyond Tomorrow: นวัตกรรม นำอนาคต’ โดยมี ศ.พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่ม ปตท. หน่วยงานพันธมิตรภาครัฐ และเอกชนชั้นนำร่วมในพิธี ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า PTT Group Tech & Innovation Day ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 3 มี.ค. 66  เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญเพื่อแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยี และการลงทุนด้านนวัตกรรมของกลุ่ม ปตท. ตลอดจนสร้างการรับรู้ทิศทางของเทคโนโลยีในอนาคต และหาโอกาสต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ทั้งจากภายในกลุ่ม ปตท. และหน่วยงานภายนอก พร้อมทั้งผลักดันการสร้างนวัตกรรมด้านพลังงานและเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 

1.นิทรรศการ แสดงผลงานทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจใหม่จาก กลุ่ม ปตท. ใน 7 ด้าน ประกอบด้วย Future Energy, Future Mobility, Life Science, AI, Robotics & Digitalization, Logistics & Infrastructure, Decarbonization และ Innovation Ecosystem ที่มีส่วนในการช่วยสร้างสรรค์และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในสังคม อาทิ การดูแลสิ่งแวดล้อมจากพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า สุขภาพและการแพทย์จากวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันของภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมจากระบบการขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน 

2.Tech Talk เวทีแลกเปลี่ยนแนวคิด และเทรนด์เทคโนโลยี นวัตกรรมที่น่าจับตาจากภาครัฐที่ขับเคลื่อนนโยบายและผู้นำด้านนวัตกรรมกว่า 23 หัวข้อ 

และ 3.Pitching Desk พื้นที่นำเสนอนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท. กว่า 30 แบรนด์ ที่พร้อมให้นักลงทุนและผู้สนใจได้ร่วมพูดคุย ต่อยอดและขยายโอกาสการเติบโตสู่ธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงานไปด้วยกัน ตลอดจนจะได้พบกับสินค้านวัตกรรมที่พร้อมให้ช้อป ชิมจากกลุ่ม ปตท. อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจาก Innobic, น้ำเชื่อมหญ้าหวาน Natural Nxt, อาหารโปรตีนจากพืช NRPT, ไอศกรีมกะทิสดแท้ Kathisod Station และผลิตภัณฑ์รักษ์โลกจาก MORE 

“กลุ่ม ปตท. มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตเป็นที่ยอมรับทั้งในภูมิภาคอาเซียนและเวทีโลก พร้อมขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคตได้ต่อไป” นายอรรถพลกล่าวเสริม
 

ผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด

วันที่ 1 มีนาคม 2566 นายวิจิตต์ แก้วไทรเทียม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) เป็นประธานพิธีทําบุญเนื่องในโอกาสวันครบรอบ 35 ปี การดําเนินงานท่าอากาศยานเชียงใหม่

 

โดยมี นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการ บริษัทสายการบิน ผู้บริหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสื่อมวลชน ให้เกียรติร่วมพิธีและร่วมแสดงความยินดีในโอกาสดังกล่าวโอกาสนี้ คณะผู้บริหารท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ร่วมกันแถลงผลการดําเนินงานของท่าอากาศยานเชียงใหม่

 

โดยนายวิจิตต์ แก้วไทรเทียม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยาน เชียงใหม่ มีอัตราการเจริญเติบโตในทิศทางขาขึ้นมาโดยตลอด มีจํานวนผู้โดยสารสูงสุดเมื่อปี 2562 ถึงกว่า 11 ล้าน 3 แสนคน และมีอัตราเที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงเป็นครั้งแรกในปี 2563 ต่อเนื่องจนถึงปี 2564 ซง่ึ เป็นช่วงที่มีการระบาด ของโรคโควิด-19 แต่หลังจากรัฐบาลไทยและทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง ทําให้ในปี 2565 ที่ผ่านมา ท่าอากาศยาน เชียงใหม่ มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจํานวนเที่ยวบินและผู้โดยสารอีกครั้ง มีผลการดําเนินงาน มีอากาศยานพาณิชย์ ขึ้น-ลง 39,027 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 90.88 มีจํานวนผู้โดยสาร 5.46 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 209.72 มีปริมาณการขนถ่ายสินค้า 5,588 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 68.42

 

ด้านนายณัฐวุฒิ ทาอินต๊ะ รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (สายปฏิบัติการ) กล่าวว่า ปัจจุบัน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีสายการบินที่ให้บริการทั้งหมด 24 สายการบิน ใน 30 เส้นทาง เป็นสายการบินภายในประเทศ 12 เส้นทาง ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค และมีเส้นทางบินตรงระหว่างประเทศ 18 เส้นทาง ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิด สถานการณ์โควิดถือว่าการให้บริการในภาพรวมกลับคืนมาแล้วกว่าร้อยละ 63 โดยเส้นทางล่าสุดที่คาดว่าจะเปิดให้บริการ ในตารางฤดูร้อนคือช่วงปลายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ได้แก่ เส้นทาง คุนหมิง-เชียงใหม่

 

ขณะที่ นายสรายุทธ จําปา รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (สายสนับสนุนธุรกิจ) เปิดเผยถึง ผลประกอบการด้านการเงินว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกับจํานวนผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ โดยท่าอากาศยานเชียงใหม่ เคยมีกําไรสูงสุดในปี 2562 และขาดทุนครั้งแรกในปี 2564 ต่อเนื่องจนถึงปี 2565 ทั้งนี้รายได้ที่ลดลงจํานวนมาก คือรายได้จากส่วนแบ่งผลประโยชน์ ซึ่งเป็นรายได้หลักจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการบินหรือ Non Aero

 

เนื่องจาก ทอท.ได้มีนโยบาย ช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และปัจจุบันก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งหากสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการเต็มพื้นที่ ผลประกอบการก็คาดว่าจะกลับมาเป็นเชิงบวกได้ภายในปีนี้

 

สําหรับโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งดําเนินการควบคู่ไปกับการจ้างออกแบบและจัดหาผู้รับจ้าง โดยคาดว่าจะได้ผู้รับจ้าง ภายในปีงบประมาณ 2566 นอกจากนี้ยังมีงานเร่งด่วนบรรเทาความแออัด ซึ่งเป็นงานก่อสร้างกลุ่มอาคารทดแทน ได้แก่ อาคารดับเพลิง อาคารคลังสินค้า และลานจอด GSE โดยอยู่ระหว่างเตรียมเข้ากระบวนการจัดหาภายในปีงบประมาณ 2566 นี้เช่นกัน

 

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็นท่าอากาศยาน 1 ใน 6 แห่ง ภายใต้การกํากับดูแลของ ทอท.ได้รับโอนกิจการ จากกรมการบินพาณิชย์มาอยู่ในความดูแล ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2531 และแปรสภาพ เป็น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545

 

โดยได้มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ในทุกๆ ด้าน ภายใต้มาตรฐานสากลและค่านิยมหลัก 5 ประการ ได้แก่ ให้ใจ มั่นใจ ร่วมใจ เปิดใจ และภูมิใจ ถือเป็นหนึ่งใน ฟันเฟืองขับเคลื่อนหลักทางด้านเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่มาโดยตลอด

 

ขณะเดียวกันก็ยังได้ตระหนักถึงการเป็นสนามบิน ที่เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของชุมชน (Corporate Citizenship Airport) ซึ่งเป็นหนึ่งในการดําเนินงาน ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) ของ ทอท.โดยได้ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมประเพณี

 


© Copyright 2022, All rights reserved. North Time Thailand
Take Me Top